"แมวต้องไม่เลี้ยงไว้เพียงเพื่อผลประโยชน์ ไม่เลือกเอาแต่แม่แมวไว้จับหนู พอมีลูกก็เอาลูกไปปล่อยทิ้ง
ถ้าไม่อยากพรากแม่พรากลูกควรทำหมัน ในหนึ่งปีที่ทำงาน เราพบแมวถูกทิ้งทุกวัน"
นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งความในใจจาก คุณ วชิรา ทวีสุขกุล ประธานโครงการ “รักษ์แมวปันน้ำใจให้แมวจร" เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี
ที่โครงการก่อตั้งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยหาบ้านใหม่ให้แมวข้างถนนมานับไม่ถ้วน และออกหน่วย เคลื่อนที่เพื่อทำหมันแมวจรจัดมานัก
ต่อนัก รวมถึงยังสร้างอาสาสมัครนักกิจกรรมออกมา สู่สังคมอย่างต่อเนื่อง วันนี้ สำนักงานส่งเสริมภาคประชาสังคม จึงขอเชิญชวน
มาทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้น
สิบปีที่ผ่านมาทำอะไรกัน ?
: จริง ๆ เริ่มจากช่วยแมวที่เจ็บป่วย พอแมวหายดีก็ประกาศหาบ้าน แต่พอหาบ้านแล้วมีคนที่รับไปเลี้ยง เลี้ยงดี รักแมวดี แต่มีเงินไม่มาก
ภาระเยอะ เราก็เลยคิดหาทางจะช่วยเขา ก็เลยดูว่าถ้าทำหมันให้แมวของเขาตอนโตมันน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระ จริง ๆ ก็เริ่มจากแมวที่เรา
ประกาศหาบ้านพวกนั้น รับกลับมาทำหมัน เราไม่เคยคิดว่าจะทำมาเป็นสิบปี ทุกวันนี้พัฒนามาจนมีโครงการช่วยเหลือ และให้การรักษา
รายกรณี ถ้าคุณเจอเหตุฉุกเฉินกับแมวไม่ว่าจะโดนวางยา โดนรถชนหรืออะไรก็ตามแล้วคุณนำไปส่งหมอแต่ติดขัดเรื่องค่ารักษาพยาบาล
โครงการก็จะดูแลให้
ที่ผ่านมาทำคนเดียว แล้วไปยังไงมายังไงถึงเริ่มมีอาสาสมัครมากขึ้น ?
: ต้องบอกว่าที่ผ่านมามีทั้งอาสาสมัครขาจรและขาประจำที่เเวะมาให้การช่วยเหลือเรา จนตอนนี้เวลาออกหน่วยเคลื่อนที่ ก็จะมีอาสามัคร
ประจำอย่างน้อยสามคนในการช่วยเหลือ ซึ่งถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่เห็นด้วยกับเรา อยากช่วยเหลือแมวจรในละแวกบ้านของท่าน ท่านไม่ต้อง
ถามว่าเมื่อไหร่จะมาตรงนี้บ้าง เมื่อไหร่จะไปตรงนั้นบ้าง บอกได้เลยว่าพวกเราไปได้ทุกที่ แต่ต้องมีคนช่วยเหลือประสานงาน แล้วพวกเรา
จะช่วยนัดคิวหมอ แล้วก็เช่ารถตู้ไปเอง ถ้าหากเป็นที่วัดหรือชุมชนก็อาจขอความร่วมมือให้ช่วยกักไว้ให้ พอเราไปถึงจะได้ทำหมันได้เลย
ไม่วุ่นวาย เอาง่าย ๆ คือถ้าอยากจะช่วยไม่ว่าเรื่องอะไรคุณต้องลุกขึ้นมาเป็นพลังเท่าที่ทำได้ ว่ากันว่าภาคประชาสังคมไทย โดยเฉพาะ
สายงานที่ให้การสงเคราะห์แบบนี้ต้องแบกความคาดหวังไว้มาก
อนาคตเราอยากเติบโตหรือเห็นทิศทางการเติบโต ของงานที่ทำอย่างไร ?
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เรายังไม่ดำเนินการจดทะเบียนให้เป็นมูลนิธิ สมาคม ทั้งที่ดำเนินงานมานาน และมีความพร้อมมาก ก็คงเพราะในเมือง
ไทยคนที่อยากให้เราช่วยกับคนที่จะช่วยเราคนที่อยากให้ช่วยมีเยอะกว่า รวมทั้งมีเรื่องของการจัดการที่ต้องยาก ลำบากแบกความคาดหวัง
กับผู้คน อย่างตอนนี้เราก็ช่วยได้เท่าที่เราช่วย เรารู้สึกว่าการบอกบุญ การชี้เป้าแมวจรจัดมันไม่ใช่การช่วย เราจำเป็นต้องมาลงมือช่วยกัน
เหมือนสังคมมีความต้องการและความคาดหวังกับการสงเคราะห์มากเกินไป ซึ่งสุดท้าย ในฐานะภาคประชาสังคม เราได้ยินคำค่อนขอด
มาเยอะก็อยากฝากว่า สิ่งหนึ่งที่ภาคประชาสังคมจำเป็นต้องคำนึงถึง และให้ความสำคัญคือเรื่องความโปร่งใส อย่าทำอะไรให้คนมาว่า
เราเป็นเห็บหมาเห็บแมวได้ไม่เช่นนั้นอกจากคนจะเดือดร้อนแล้วยังสะเทือนไปถึงหมาถึงแมวด้วย