กองทุนภาคประชาสังคม

ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ ไว้ซื้อความดี ?

“ความเอ๋ย ความดี ที่นี่ ที่ไหนมีขายบ้าง ราคาเท่าไหร่จะได้เตรียมตังค์”

 คำถามเสียงดังของ คุณเดช พุ่มคชา ในฐานะนักพัฒนาอาวุโส ทำให้หลายคนต้องพยักหน้าตามจังหวะเว้นวรรค จากนามธรรม ความดี

ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจบนเวทีผ่าน 4 เรื่องเล่าร่วมกับ 4 เพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

รัชกาลที่ 9 ในงาน “We are CSO Forum 2 ความดีไม่มีขาย (Goodness not for sales)”  ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันส่งเสริมภาค

ประชาสังคม (สสป.) ร่วมกับ สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส)

และกรมธนารักษ์

จากปากคำของสองหนุ่มสาว หนึ่งข้าราชการครู และผู้พิการทางสายตา ที่ลุกขึ้นมารวมกลุ่มกันเริ่มต้นทำความดี เรื่องเล่ามากมาย

ไม่รู้จบจึงเริมขึ้น  “คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของทรัพย์สินที่มี แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำอะไรเพื่อใครหรือยัง และชีวิตที่ไ

ม่เคยทำอะไรเพื่อคนอื่นเลยเหมือนเป็นชีวิตที่ปราศจากคุณค่า ดังนั้นวันนี้เราเริ่มออกไปทำอะไรเพื่อคนอื่นกันดีกว่า” 

คุณ ชานนท์เครือด้วง ผู้ก่อตั้งกลุ่มดินสอสีรุ้ง ได้ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงหากเริ่มต้นที่ตัวเราเป้าหมายที่เราจะ

ร่วมพัฒนาสังคมก็จะขยับใกล้เข้ามา จากนั้น คุณพีรพงศ์ จารุสาร ประธานอนุกรรมการศูนย์กฎหมายตาทิพย์ สมาคมคนตาบอด

แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตาจึงได้ขึ้นเวทีมาร่วมขยายภาพของการรวมกลุ่มทำความดีในฐานะ “สมาคม” โดยได้แสดง

ให้เห็นถึงพลังของการรวมกลุ่มกันทำความดี ที่จะยังประโยชน์ให้กับสังคมอย่างมหาศาล  “พลังของการรวมกลุ่มเป็นเครื่องมือ

ที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่สังคม  และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้นสมาคมคนตาบอดเองก็ไม่สามารถทำงานหรือแก้ปัญหา

ได้เพียงลำพัง”

 

 

จากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาการนำเสนอเรื่องราวการทำความดีของ หนูดี จิตชนก ต๊ะวิชัย เกษตรกรสาว คนรุ่นใหม่ที่ผันตัวเองหลังจากจบปริญญา

จากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับไปทำนาที่บ้านเกิดและต่อได้ยอดพัฒนาความรู้จนกลายมาเป็นต้นแบบในการสร้างการเรียนรู้ ผ่านศูนย์

เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ที่ใต้ถุนบ้านของเธอเอง “จากคนบ้าที่เริ่มทำนาโยน กลายมาเป็นคนที่ทุกวันนี้ต้องรับมือกับการเข้ามาสัมภาษณ์ของสื่อ

มากมายที่เราก็ไม่รู้มาจากไหน การตั้งมั่นและให้ความสำคัญในสิ่งที่ทำไม่ว่าจะทำอะไรโดยเฉพาะเรื่องที่ดี มันก็จะส่งผลย้อนกลับมาหาตัวเรา” 

สุดท้ายอดีตข้าราชการครูที่กลายเป็นผู้อนุรักษ์ต้นลำพูต้นสุดท้าย คุณ สมปอง ดวงไสว ได้เล่าถึงเรื่องราวของการเริ่มต้นเป็นคนอนุรักษ์ว่า 

“วันนั้นผมดูถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าเสด็จเดินรอบสวนสันติชัยปราการ แล้วทรงมีรับสั่งกับสมเด็จ

พระนางเจ้า ฯ ว่าบางกอกไม่มีมะกอก บางม่วงไม่มีมะม่วง แต่บางลำพู ยังมีต้นลำพูใหญ่ต้นเก่าแก่ เมื่อจะสร้างพระที่นั่งฯ เกรงว่าจะไปบัง

ต้นลำพู ผมจึงจดบันทึกกระแสพระราชดำรัสนั้นไว้ไม่ให้ตกหล่น จากนั้นจึงเริ่มต้นชวนลูกศิษย์สามคนชวนกันไปวัดขนาดความกว้างความยาว

ของต้นลำพู จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ต้นลำพูต้นสุดท้าย”

จะเห็นได้ว่าแม้แรงบันดาลใจจะมาจากทิศทางไหน ก็ร่วมผลักดันให้คนทำดี มีประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าของตัวเอง ปิดท้ายกิจกรรมบนเวที 

We are CSO Forum 2 ความดีไม่มีขาย (Goodness not for sales) ด้วยการแสดงจากวงดนตรีศิลปินคนตาบอด S2S ที่มาร่วมบรรเลงเพลง

พระราชนิพนธ์จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งตลอดระยะเวลาการจัดงานทุภภาคส่วนได้แสดงให้เห็นแล้ว ว่าหากเกิดการมีส่วนร่วม

ในการแก้ปัญหาหรือการพัฒนา ชุมชนจะเข้มแข็ง สังคมจะเป็นสุข และคุณค่าของความดีจะคืนกลับมาอยู่กับทุกคน โดยไม่ต้องเตรียมสตางค์

ไปหาซื้อ เพราะความดีนั้นไม่มีขาย และ “ WE ARE CSO ใครๆ ก็เป็นได้”

Tag


powered by CIVIL SOCIETY EMPOWERMENT INSTITUTE