กองทุนภาคประชาสังคม

วันชัย บุญประชา ..คนอาสาทำดีเพื่อสังคม(และครอบครัว)

หาก พูดถึงผู้ชายที่ชื่อ "ปู-วันชัย บุญประชา" เขาคนนี้ถือเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มคนทำงานด้านเด็ก กับตำแหน่งกรรมการและเลขานุการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ขณะที่อีกหลายภาคส่วน อาจรู้จักจากสื่อ เพราะเขาถือเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ ในการทำงานป้องกันปัญหาเด็ก และช่วยเด็กให้พ้นจากสภาพที่เลวร้าย ทั้งสถานบริการทางเพศ โรงงาน และบ้านที่ใช้ความรุนแรง

                ตลอดระยะเวลา 20 ปี บนเส้นทางชีวิตการทำงานด้านเด็ก-ครอบครัวของ "พี่ปู" หากย้อนกลับไป เขาเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน ที่สำคัญเขาเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง แต่ด้วยความโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่เข้าใจ ซึ่งมักจะได้รับความรู้สึกที่ดีจากพ่อแม่อยู่เสมอว่า "ถึงแม้เอ็งจะเรียน ไม่เก่ง แต่เอ็งเป็นคนช่วยเหลือผู้อื่น" ทำให้ด.ช.ปู มีแรงขับและกำลังใจ จนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เขาได้กลายเป็นที่พึ่งให้กับสังคม และครอบครัวไทยในหลายเรื่อง

                "สมัยที่เรียนมัธยม พี่อยู่ห้องสุดท้าย วันๆอยู่กับงานช่าง แต่เด็กกลุ่มนี้มักจะเป็นตัวหลักในการทำกิจกรรมของโรงเรียนอยู่เสมอ เช่น โต๊ะหินอ่อนไม่พอเราก็ช่วยทำ นอกจากนี้ยังได้พบด้วยว่าแม้จะเป็นเด็กห้องสุดท้าย แต่เรากลับกลายเป็นหัวแถวของเพื่อนๆ ในห้องที่สามารถทำเลขให้เพื่อนลอกได้ หรือให้เพื่อนลอกข้อสอบเราได้ จนสามารถสอบ เอ็นทรานต์ติดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาวิชาบ้าน และชุมชน เพราะมีความชอบและตั้งใจที่ช่วยเหลือและพัฒนาชีวิตชาวบ้าน" คุณปูเล่าถึงชีวิตสมัยเรียน

คำบอกเล่าข้างต้น แม้ว่าตอนนั้นคุณปูจะมีจุดด้อยในเรื่องการเรียน แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะค้นหาคุณค่า ด้วยการบอกที่บ้านว่าจบออกมาจะขอทำงานอาสาสมัคร ซึ่งพี่สาวถือเป็นคนจุดไฟอาสาให้กับเขา ด้วยคำพูดที่บอกว่า"เอ็งถือเป็นส่วนคืนกำไร ให้สังคมของครอบครัว" นี่คือคุณค่าที่ตัวเขาเองรู้สึกว่า แม้จะทำแล้วดีหรือไม่ดี แต่สิ่งแรกที่เขาได้รับคือ ความรู้สึกที่ดีเพราะถือว่าได้ช่วยให้ใครหลายคนมีความสุขและมีโอกาสที่ดี จึงเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางชีวิตอาสาสมัครที่มีหัวใจพร้อมจะช่วยสังคมและ ทุกครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

                ตลอดระยะเวลา 20 ปี คุณปูตรวจปัญหาครอบครัวไทยพบว่า เมื่อสังคมเปลี่ยน ครอบครัวไทยก็เปลี่ยน เนื่องจากทุกวันนี้ สังคมมีสิ่งมอมเมาที่ซับซ้อนมากขึ้น ถึงแม้ว่าพ่อแม่ยุคใหม่จะใส่ใจ และดูแลลูกเป็นอย่างดีก็ตาม แต่บางครั้งก็ยังเอาไม่อยู่ ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตัวพ่อแม่ยุคใหม่เอง กลับกลายเป็นคนพาลูกเข้าวังวนของกระแสสังคมทุนนิยม เช่น ลูกอยากได้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดัง ก็ตามใจซื้อให้ หรือการพาลูกเข้าสังคมติวเตอร์ รวมไปถึง ร่วมกันเสพสื่อร้ายกับลูก โดยเฉพาะหนัง หรือละครบางเรื่องที่แฝงความรุนแรงต่อเด็ก สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมัจจุราชรุ่นใหม่ ที่บางครอบครัวยังรู้ไม่เท่าทัน

"กระแสบริโภค นิยม หรือการฟุ้งเฟ้อมากเกินความเป็นจริง สิ่งต่างๆ พวกนี้ พ่อแม่กลับถลำเข้าไปร่วมบริโภค จนทำให้ลูก เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ว่า ควรทำแบบนั้นตามไปด้วย นี่คือสิ่งที่ครอบครัวไทยกำลังเผชิญ ซึ่งมันไม่เหมือนก่อนที่พ่อแม่ฐานะยากจน ต้องทำงานเลี้ยงลูก โดยที่ไม่มีเวลาให้ลูก แต่เด็กก็รอดมาได้ เพราะสังคมไม่เลวร้ายเหมือนตอนนี้

 แต่ยุคสมัยใหม่ ถึงแม้พ่อแม่จะมีเวลา แต่หลายครอบครัว ก็เอาเวลาไปร่วมเสพกระแสทุนนิยมร่วมกับลูก ซึ่งบางครอบครัวตามไม่ทันจนตกหลุมพลาง" คุณปูสะท้อนถึงสิ่งที่ครอบครัวไทยกำลังถูกกระทำ ทั้งยังบอกต่อว่า ไม่ใช่แค่สังคมเมืองเท่านั้น แต่สังคมชนบทเอง ก็ได้รับอิทธิพลกับกระแสดังกล่าวด้วยเช่นกัน

สำหรับทางออก ที่ดีที่สุด คือ การดำเนินชีวิตตามหลักคิดวิถีพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กระนั้น ปัญหาอยู่ที่ครอบครัวไทย ยังคงติดอยู่กับระบบทุนนิยม ที่ยังปรับตัวกับระบบคิดแบบพอเพียงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องค่อยๆ เรียนรู้ เพราะว่า สังคมถูกดูดจากกระแสทุนนิยมเร็วขึ้น เนื่องจากสื่อเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ดี ต้องทำให้ทุกครอบครัวไทยเชื่อให้ได้ว่า ทุกครอบครัวมีความสุขได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินมาก แต่การมีอย่างพอดี ไม่มีหนี้สิน ก็สามารถเสพความสุขได้

การที่ ใครสักคนหนึ่งจะทำงานให้ออกมาดีได้นั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเลยคือต้องมีใจรักในงานที่ตนเองทำ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาภาคประชาสังคม จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ ที่จะคอยผลักดันให้เกิดพลังเล็ก ๆ แบบนี้ให้มีมากขึ้นในสังคม

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.l3nr.org/posts/367795

Tag


powered by CIVIL SOCIETY EMPOWERMENT INSTITUTE